[OS] จับแมว

#จับแมวนอ


|•| Kang Daniel (ดนตร์) & Ong Seongwu (เอิง)
|•| #WhereToGoNielOng – ร้านส้มตำข้างทาง
|•| By Zinister
|•| ฟิกเรื่องแรกที่แต่งในรอบ 2-3 ปี จะพิมพ์แต่ละทีก็นิ้วฝืดเหลือเกิน ไหนจะต้องเคาะสนิมงานเขียนแล้วยังต้องปัดฝุ่นบล็อกอีก หวังว่าจะชอบนะคะ (แต่ไม่ชอบตรงไหนก็ติ/แนะนำมาได้ค่า 5555


จับแมวนอ

 

น้องแมวหาบ้าน พิกัดซอย y ใกล้ม.x ขอคนใจเย็น พร้อมดูแลนะครับ น้องค่อนข้างระแวงคน อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันก่อน สนใจสอบถามได้ครับ

เอิงอ่านทวนแต่ละตัวอักษรที่ตัวเองพิมพ์อีกครั้งก่อนตัดสินใจกดเผยแพร่พร้อมแนบภาพประกอบข้อความนั้นลงในสื่อโซเชียลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือบอร์ดยอดนิยมอย่างพันทิป.คอม ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเมื่อรถเมล์คันที่รอเข้ามาจอดเทียบที่ป้ายพอดี

เมื่อเร็ว ๆ นี้หลังกลับจากมหา’ลัย เขาสังเกตเห็นลูกแมววัยกำลังซนหลายตัวมาป้วนเปี้ยนอยู่ในซอยบ้าน แต่ด้วยความที่ละแวกนั้นมีสุนัขชุกชุมซ้ำยังใกล้แยกถนนที่มีรถราผ่านไปมาอยู่ตลอด ก็ทำให้คนรักสัตว์อดห่วงไม่ได้ว่าหากไม่โดนกัดก็อาจจะถูกรถชนเข้าสักวัน ครั้นจะรับมาเลี้ยงเองก็ไม่สะดวกนัก เพราะตัวเขาไม่มีเวลาอยู่ดูแลตลอด ยังต้องไปเรียนและกลับมาช่วยงานแม่กับพี่สาวทุกวัน จะให้ขังเจ้าเหมียวไว้ในบ้านตัวเดียวหรือกระเตงไปไหนมาได้ด้วยก็สงสารมันเสียเปล่า ๆ ที่ทำได้จึงเป็นการประกาศหาว่าที่เจ้าของใจดี

เอิงเคาะปลายนิ้วกับแก้มซ้ายของตนที่มีจุดจาง ๆ เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมเบา ๆ อย่างที่มักเผลอทำเวลาเหม่อ ขณะนึกถึงลูกแมวเจ้าปัญหาตัวสุดท้ายที่ยังไม่มีบ้านใหม่ที่อบอุ่นเหมือนพี่น้องของมันสักที มีหลายคนที่เคยติดต่อมาว่าอยากรับอุปการะ แต่ความไม่เชื่องก็ฝากรอยข่วนลึกไว้จนพากันขยาด อาจเพราะเคยเจอประสบการณ์ไม่ดี เจ้าเหมียวส้มเลยขี้ระแวงอย่างหนัก ตัวเขาต้องพยายามทำความคุ้นเคยอยู่นานกว่ามันจะยอมเข้ามาใกล้ กระนั้นก็ยังไม่สนิทใจถึงขนาดให้ลูบเนื้อตัวหรือฟัดกอดอย่างที่นึกมันเขี้ยวอยู่เนือง ๆ

พอคิดถึงตรงนี้แล้วก็อดยืดอกขึ้นมาหน่อย ๆ ไม่ได้ ว่าเจ้าเหมียวมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างก็เพราะบรรดาขนมสารพัดที่เขาเอามาหลอกล่อ เดี๋ยวพอรถเมล์จอดป้าย เชื่อได้เลยว่าจะเจอก้อนสีส้มกำลังนั่งรอนอนรอขอขนมแมวเลียในกระเป๋า

แต่ก็นั่นล่ะนะ พอละเลียดจนหมดซอง สาวน้อยก็จะสะบัดหางเผ่นแน่บไปเหมือนทุกที

 

 

 

 

 

แปลก…

เอิงหันซ้ายหันขวามองหาสิ่งที่ควรจะนอนเก็บคางหางขดอยู่บนที่นั่งรอรถประจำทาง แต่วันนี้กลับไม่ยักมี ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นพลางเพ่งสายตาพยายามมองหาอีกสักพัก ก่อนจะพาร่างผ่ายผอมตรงไปยังร้านส้มตำรถเข็นข้างทาง ที่มีหญิงสาวหน้าตาดีกำลังง่วนอยู่กับการทอดไก่ในกระทะจนหน้ามัน กับหญิงวัยกลางคนที่กำลังนั่งสับมะละกอใส่กะละมังใบใหญ่

“แม่ พี่หนึ่ง หวัดดีครับ” เอิงยกมือไหว้สตรีต่างวัยทั้งสองที่หันมายิ้มรับพร้อมรอยยิ้ม

“เอาสักน่องไหมเอิง เพิ่งทอดร้อน ๆ เลย” หนึ่งถามน้องชายที่ใบหน้าละม้ายกันพลางพยักพเยิดไปทางไก่ทอดกรอบสีเหลืองทองที่ลอยอยู่ในกระทะใบโต ข้างแก้มของเธอเปื้อนรอยแป้งเป็นขีดบาง ๆ จนคนมองแอบขำว่าเหมือนเจ้าตัวมีหนวดแมว

“ดีเลยพี่ เอิงกำลังหิวพอดี เอาของไปเก็บก่อนละเดี๋ยวมาช่วยนะ” มือหยิบกระดาษเช็ดคราบแป้งจากแก้มพี่สาว ก่อนจะหันไปถามสุดที่รักอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบสำหรับเมนูยอดนิยมประจำร้าน “เออ ว่าแต่แม่กะพี่หนึ่งเห็นไอ้ส้มมั่งเปล่า วันนี้ไม่เห็นมันไปรอเอิงที่ป้ายรถเมล์”

“แม่เห็นมันวิ่งไปตรงที่จอดรถใต้ธนาคารน่ะ สงสัยจะไปหลบหมา”

เอิงชะเง้อมองไปทางสถานที่ที่มารดาบอก แต่ก็ไม่เห็นเจ้าตัวเล็ก เลยคิดว่าจะเอาของไปเก็บที่บ้านก่อนแล้วค่อยออกมาหาอีกที อย่างไรเสียถ้าสาวน้อยหิว ก็คงจะออกมาขออาหารลูกค้ากับพ่อค้าแม่ขายแถวนี้เอง

เมื่อคิดได้ดังนั้น หนุ่มนักศึกษาปีสองก็เร่งเดินกลับบ้านที่อยู่ในซอยเดียวกัน กะว่าจะรีบอาบน้ำอาบท่าแล้วออกมาช่วยแม่กับพี่สาวทันที ซึ่งกิจวัตรแต่ละวันของเอิงก็มีอยู่เท่านี้ เช้าออกไปเรียนที่มหา’ลัย เลิกเรียนก็กลับมาช่วยขายส้มตำรถเข็นอยู่หน้าปากซอยบ้าน สัก 3-4 ทุ่มช่วยกันเก็บร้าน แล้วตัวเขาก็พักผ่อนยาวจนเช้า ก็ยังสบายกว่าแม่กับพี่สาวอยู่มากเพราะไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปจับจ่ายซื้อของ

นับตั้งแต่พ่อเสียเมื่อหลายปีก่อน ครอบครัวของเอิงก็เหลือกันอยู่สามคน พวกเขาอาศัยอยู่ในตึกแถวสามชั้นในซอยเล็ก ๆ ที่เหมือนเป็นทางลัดตัดไปยังด้านหลังห้างสรรพสินค้าชื่อดังใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน ที่ทางอาจดูน่าอึดอัดไปบ้าง แต่พวกเขาก็อยู่ได้สบายและไม่ขัดสนอะไร

ด้วยความที่รายล้อมไปด้วยอาคารสำนักงาน ซ้ำยังมีคนพลุกพล่านตลอดวัน เพราะปากซอยก็มีป้ายรถเมล์กับธนาคาร แถมยังมีโรงงานที่ท้ายซอยอีก กลางซอยจึงมีตลาดกลางวันที่เปิดตั้งแต่เช้าตรู่และจะวายราว ๆ บ่ายสอง บ้านของครอบครัวเอิงก็อยู่ตรงข้ามกับตลาดนั้น แม่กับพี่สาวจึงใช้ชั้นล่างของตึกแถวเปิดเป็นร้านอาหารอิสานเพิ่มทางเลือกให้กับหนุ่มสาวออฟฟิศ เปิด-ปิดเวลาเดียวกับตลาดให้ได้พักพอหอมปากหอมคอก่อนเข็นรถส้มตำออกมาขายหน้าปากซอยในช่วงเวลาเลิกงาน

เล่า ๆ ไปก็ฟังดูเหมือนจะลำบาก แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น กลับกันเสียด้วยซ้ำเพราะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ หนี้สินก็ไม่มี แต่ที่ขยันก็เพราะคิดว่าตอนนี้ยังมีแรงทำไหวก็ทำงานไป เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้มีเงินใช้ไม่เดือดร้อนนัก เอิงเองก็เป็นนักศึกษาทุนเรียนดีของมหาวิทยาลัย เงินส่วนที่ควรจะเป็นค่าเทอมเลยกลายมาเป็นค่าทริปพักผ่อนที่มักจะไปกันปีละ 2-3 ครั้ง แต่ก็เป็นเที่ยวในประเทศทั้งนั้น เพราะลูกชายคนเล็กของบ้านตั้งปณิธานไว้ว่าอยากให้ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตน

ถึงตอนนี้ก็ชักจะพล่ามเรื่องอนาคตที่ออกจะยังไกลเกินไป เอิงรีบสาวเท้าเข้ามาจดออเดอร์จากลูกค้ากลุ่มใหม่ไปส่งให้พี่ แล้วรับอาหารจากแม่ไปเสิร์ฟโต๊ะตามที่สั่ง พอกำลังคิดว่าจะนั่งพักสักหน่อยก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่ม ๆ ที่เฉียดผ่านน่องขาไป

ม้าว~

เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าตัวที่นั่งจุ้มปุ๊กตรงหน้าพร้อมเชยตาสีอำพันแวววับขึ้นจับจ้องเขา ทำให้เอิงรู้ว่าสิ่งที่เฉียดขาไปเมื่อครู่คงจะเป็นข้างลำตัวผอม ๆ ที่เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นมาจากการขุนของเขาและบรรดาพ่อค้าแม่ขายในละแวก ซึ่งความจริงหากมีคนเอ็นดูขนาดนั้น เนื้อตัวที่ปกคลุมด้วยขนสีส้มนี่ก็ควรจะอวบอ้วนท้วนสมบูรณ์กว่านี้ ติดแต่ว่านอกจากขี้ระแวงแล้วเจ้าตัวยังเลือกกิน บางอย่างที่มีคนหยิบยื่นให้ก็กินบ้างเมินบ้าง ไม่รู้ว่าระแวงหรือไม่ชอบกันแน่

แต่เอาเถอะ แค่ไม่ผอมกะหร่องชนิดมีแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนคราวแรกพบก็ดีมากแล้ว

“รีบไปไหนล่ะเจ้าหนู มาเล่นกันก่อนซี่~”

เสียงแหบที่ถูกดัดให้ดูแหลมฟังดูแปร่งหู ยิ่งเมื่อรวมกับชายร่างสูงในชุดสูทพอดีตัวเน้นช่วงไหล่กว้างที่ก้ม ๆ เงย ๆ วิ่งตามสาวน้อยสีส้มมาก็ดูแปลกตาเข้าไปใหญ่ เอิงมองสูทที่เนื้อผ้ามีสีประจำธนาคารปากซอยอยู่ประปรายพลางลอบคิดในใจ สงสัยจะทำงานอยู่ที่นี่แล้วเจอเจ้าเหมียวตัวนี้ในที่จอดรถกระมัง

“เอ่อ…” เอิงก้มหน้ามองอีกฝ่ายที่ย่อตัวลงข้างกายเขาแล้วชะโงกล้อมหน้าล้อมหลังแมวเหมียวที่โยกตัวหลบซ้ายทีขวาทีอย่างทำตัวไม่ถูก ไหนจะสายตาคนตรงป้ายรถเมล์ที่มองมาทางเขา คิดว่าคนพวกนั้นคงจะประหลาดใจเหมือนกันที่เห็นผู้ชายท่าทางมีสตางค์มากองตัวอยู่ข้างอีกคนที่แต่งตัวปอน ๆ เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงบอลอะไรประมาณนั้น

“น้องเป็นเจ้าของแมวตัวนี้เหรอ” คนแปลกหน้าแหงนมองกะทันหันจนทำให้สายตาทั้งสองสบกันโดยไม่ตั้งตัว ชายนิรนามแย้มยิ้มเจิดจ้าจนเอิงได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าอีกคนกำลังพูดกับตน

“เปล่าครับ” ตอบสั้น ๆ แล้วก็เม้มปากแน่น นึกก่นด่าตัวเองในใจที่อึ้งจนเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายเป็นนานสองนาน เสียมารยาทจริงไอ้เอิง!

“แต่มันดูไม่กลัวน้องอะ” คนตัวโตยังคงนั่งท่าเดิม เพิ่มเติมคือไขว้แขนขึ้นกอดอกแล้วเกยคางกับแขนตัวเองอีกที

“คงเพราะผมให้ขนมมันกินบ่อยมั้งครับ” เอิงเลิกคิ้วมองกิริยางอแงเป็นเด็ก ๆ ขัดกับลุกส์ของเจ้าตัวแล้วก็ลอบยิ้ม ก่อนจะปั้นหน้านิ่งเก็บอาการแทบไม่ทันเมื่ออยู่ ๆ ฝ่ายนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอีก

“แค่ให้ขนมก็เลิกกลัวแล้วเหรอ” ดวงตาสองชั้นหลบในที่คล้ายกับตาชั้นเดียวเชยขึ้นมอง ในตอนนั้นเอิงก็เผลอจ้องจุดสีน้ำตาลเข้มใต้ตาข้างขวาของชายหนุ่มตรงหน้าเข้าอีกแล้ว

“…พี่มีอะไรรึเปล่าครับ” แต่อย่างน้อยคราวนี้เขาก็หาเสียงตัวเองเจอไวกว่าคำถามแรกล่ะนะ

“คือพี่อยากเอามันไปเลี้ยงน่ะ แต่พอจะจับแล้วมันวิ่งหนีตลอดเลย” พูดถึงแล้วโครงหน้าเรียวที่ออกจะมีแก้มเยอะอยู่สักหน่อยก็บูดบึ้งเหมือนเด็กโดนขัดใจ ส่วนตัวการก็คงไม่พ้นก้อนสีส้มที่ตอนนี้เผ่นแผล็วหายไปจากครรลองสายตาเสียแล้ว

“อ๋อ เจ้านี่มันขี้ระแวงอะครับ ผมก็ต้องล่ออยู่นานกว่ามันจะยอมเข้ามาใกล้ แต่ผมก็ยังจับตัวมันนาน ๆ ไม่ได้อยู่ดีนะ อย่างเก่งก็ได้แค่ลูบหัว 2-3 ทีเอง” เอิงหัวเราะแห้งพลางเกาแก้มซ้ายตัวเองด้วยความขัดเขิน ไอ้เรื่องที่พูดมันไม่มีอะไรน่าเขินหรอก แต่สายตาของผู้ชายตรงหน้านี่สิ พอสบตาแล้วมันรู้สึกจักจี้ยังไงชอบกล

หากวัดจากการประกาศหาบ้านให้ลูกแมว แถวยังคอยดูแลเจ้าเหมียวไร้บ้าน เอิงก็ดูเหมือนจะเป็นทาสแมวคนหนึ่ง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาน่ะรักหมามากกว่าเสียอีก โดยเฉพาะหมาตัวโต ๆ ที่กอดฟัดได้เต็มแขนด้วยแล้ว บอกเลยว่าเจอที่ไหนก็แทบถลาเข้าใส่เสียทุกครั้ง จำได้ว่าเคยไปคาเฟ่หมา ตอนนั้นก็เล่นไปนอนหนุนฮัสกี้ในร้านเขาหน้าตาเฉย เฮ้อ~ นึกแล้วก็ชักอยากไปอีก

แล้วก็นะ ผู้ชายตรงหน้านี่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนหมาตัวโต ๆ หน้าตาอารมณ์ดีแถมมีขนนุ่มฟูอย่างไรบอกไม่ถูก… รู้สึกจะเป็นพันธุ์ที่ชื่อซามอยด์

“แล้ว’งี้พี่ต้องทำไงอะ น้องช่วยพี่หน่อยสิ พี่อยากเลี้ยงจริง ๆ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังยื่นปลายนิ้วมาเขี่ยหลังมือเขายิก ๆ สนิทกันแล้วหรือก็ไม่ใช่ เอิงไม่ได้บ้าจี้ แต่เจอแบบนี้ก็ใจหวิวแปลก ๆ

“พี่คงต้องมาเล่น เอาขนมมาล่อทุกวัน เดี๋ยวมันก็ชินพี่เองละมั้งครับ ความจริงผมก็กำลังประกาศหาคนมารับเลี้ยงอยู่พอดี แต่เจ้านี่มันพยศอะ ใครมาก็ไล่ข่วนเขาหมด นี่ก็เลยเหลืออยู่ตัวเดียว มีคนรับแม่กับพี่น้องมันไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว”

“ได้ ๆ ’งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาชวนเล่นใหม่ น้องช่วยพี่ด้วยนะ” ชายที่ให้ความรู้สึกเหมือนซามอยด์แย้มยิ้มเต็มหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วแนะนำตัวเอง “พี่ชื่อดนตร์ ทำงานอยู่แบงก์นี้แหละ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร”

“ชื่อเอิงครับ บ้านอยู่ในซอยนี้เอง ตอนเที่ยงพี่มาอุดหนุนกับข้าวร้านแม่กับพี่สาวผมได้นะ” ยิ้มตอบอย่างมีไมตรีโดยไม่ลืมขายของในตอนท้าย สมกับที่มีสายเลือดลูกแม่ค้า

แล้วกิจวัตรประจำวันของเอิงที่มีแค่ไปเรียนกับช่วยงานบ้านก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนับตั้งแต่นั้น…

 

 

 

 

 

“น้องเอิงว่ารูนีย์จะชอบไหมอะ นี่พี่ให้เขาใส่กัญชาแมวเข้าไปด้วยนะ”

ไม้ล่อแมวที่ปลายด้านหนึ่งมีเชือกผูกติดกับตุ๊กตาหนูอวบอ้วนหน้าตาน่าชังถูกยกขึ้นมาอวดตรงหน้า ดนตร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางโอ่อ้างสรรพคุณของเล่นใหม่ที่ฟังไปฟังมาก็เหมือนอีกฝ่ายอวดความตั้งใจในการเสิร์ชอินเทอร์เน็ตหาของเล่นที่คาดว่าแมวน่าจะชอบเสียมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดนี่ก็ชิ้นที่สิบเข้าไปแล้วมั้งที่ดนตร์สรรหามา

“พี่ก็เอาไปให้รูนีย์สิ มาถามผมจะรู้ไหมเนี่ย” คนเด็กกว่าตอบเนือยพลางทำหน้าเพลียใส่ ก็รู้ล่ะว่ารวย แต่ช่วยดูด้วยว่าเหมียวรูนีย์ (ที่พี่เขาโมเมชื่อขึ้นมาเองแบบไม่สนหินสนแดดด้วยว่าน้องเป็นผู้หญิง) มันเล่นแต่พลาสติกซีลฝาขวดน้ำกับถุงพลาสติก ของแพง ๆ ที่ซื้อมา สาวน้อยเธอก็กองทิ้งไว้ที่เก่าตลอด กลายเป็นของส่งต่อให้ไอ้ด่างในซอยไปแทน

“เอ้า ทำไมไม่รู้ล่ะ น้องเอิงก็เป็นแมวนี่ เมี้ยว ๆ ๆ” พูดแล้วยังแกว่งไกวไอ้หนูน่าเกลียดนั่นไปมาต่อหน้าต่อตาเขาเสียอีก โอ๊ย หมั่นไส้!

“ไอ้พี่ดนตร์!” เอิงตะปบมือใส่แถมแหวเข้าให้เสียงดัง แต่ดูฝ่ายนั้นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ซ้ำยังหัวเราะเอิ้กอ้ากน่าหมั่นไส้ มีหน้ามาล้อว่าล่อแมวได้ผลแถมด้วยเสียอีก

“เอิง อย่าหยาบคาย” กลับกลายเป็นเขาเสียอีกที่ถูกพี่สาวมองแรงแถมปรามเสียงเข้ม

“ฮึ่ย!” คนโดนดุได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางขมุบขมิบปากบ่นใส่คู่กรณีที่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ นี่ผ่านมาแล้วเกือบสองสัปดาห์นับจากวันแรกเจอ ความสนิทสนมก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ไอ้ที่ว่าชัดนี่กับแมวหรือก็เปล่า…

ดันเป็นเขากับดนตร์นี่แหละ!

ไม่รู้ว่าคนทำงานธนาคารจะมนุษยสัมพันธ์ดีแบบนี้กันหมดหรือเปล่า แต่ดนตร์น่ะมีบรรยากาศที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผิดกับบุคลิกภายนอกที่ชวนให้เข้าใจว่าเป็นลูกคุณหนู ดูรวยจนเข้าถึงยากอะไรทำนองนั้น ซึ่งเอิงมารู้ทีหลังว่าดนตร์มีคนขับรถให้ทุกวัน เว้นแต่สองสัปดาห์ก่อนที่ลุงแกลางาน ครั้นพอจะกลับบ้านเองวันแรกก็ดันเจอะเจ้าสี่ขาหน้าส้มเสียก่อน เลยกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ดนตร์ให้สารถีประจำตัวได้ทำหน้าที่แค่เฉพาะตอนเช้า ส่วนหลังเลิกงานก็รอล่อแมวจนพอใจก่อนแล้วค่อยกลับเอง ความจริงที่พักก็ไม่ได้ไกลจากที่ทำงานเท่าไรด้วยซ้ำ ไม่รู้จะต้องมีคนขับรถทำไม คนรวยบางคนนี่ก็น่าหมั่นไส้จริง ๆ

เอาล่ะ เอิงคิดว่าตัวเองชักจะพาลไปใหญ่แล้ว

“เอิง ๆ ๆ น้องเอิงงงงง” เสียงเรียกชื่อรัว ๆ แล้วลากยาวในครั้งสุดท้ายแต่ทั้งหมดนั้นกลับเป็นเพียงเสียงเครือครางที่แทบไม่พ้นมาจากลำคอ เรียกให้เจ้าของชื่อหันไปมองพร้อมแสร้งชักสีหน้ารำคาญใส่ ก่อนจะต้องประหลาดใจที่เห็นหน้าตาพิลึกพิลั่นของคนอายุมากกว่า จะกลั้นยิ้มก็ไม่ใช่ จะเบะปากร้องไห้ก็ไม่เชิง… ตลกชะมัด

ดนตร์กลั้นยิ้มจนรูจมูกบานพร้อมเหลือบมองลงล่างทำให้เอิงต้องมองตามโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าใจสีหน้าแปลกประหลาดของอีกฝ่ายเมื่อสบเข้ากับก้อนสีส้มที่นั่งกลางระหว่างพวกเขา ทั้งยังเงยหน้ามองเอิงด้วยหัวที่เอียงน้อย ๆ กับตากลมแป๋ว

แล้วดนตร์ก็คงไม่ทำหน้ากลั้นฟินขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวซนย้ายเสี้ยวหนึ่งของตูดกลม ๆ ไปวางแปะอยู่บนปลายรองเท้าหนังของหนุ่มธนาคารที่อยากเป็นเจ้าของจนตัวสั่น

เอิงผลิยิ้มก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงเพื่อไม่ให้รูนีย์แตกตื่น ลูบหัวให้มันเคลิ้มเสียหน่อยแล้วค่อยผลัดมาเกาคาง ก่อนจะลองความท้าทายครั้งใหม่ด้วยการเลื่อนต่ำไปที่อก ขยับออกมาด้านข้างเล็กน้อยแล้วใช้โอกาสนั้นช้อนตัวสาวน้อยเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ปรับท่าให้ก้อนสีส้มเอนซบอกพร้อมกับเลื่อนมือมาเกาหูเกาคางกันเจ้าตัวซนดิ้นตก ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทว่าเป็นไปด้วยกิริยาอ่อนโยน เจ้าเหมียวที่ควรจะพยศก็ดูว่าง่ายคล้ายไม่มีเวลาให้ตกใจ แถมสุดท้ายยังขยับตัวปีนป่ายขึ้นมาไซ้คอคนอุ้มหามุมเหมาะให้ตัวเองซบไหล่สบายใจเฉิบ

เอิงเหล่มองเจ้าตัวส้มในอ้อมกอดพร้อมเขย่าตัวเบา ๆ เหมือนกล่อมเด็กด้วยความชอบใจ เขารู้สึกมาสักพักแล้วว่ารูนีย์น่าจะไว้ใจพวกเขามากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มานั่งทับเท้าดนตร์อย่างนั้น แต่ดู ๆ ไปก็เหมือนอีกฝ่ายกำลังถูกแมวแกล้งแหย่ เพราะแม้จะยอมเข้าใกล้ แต่รูนีย์ก็พร้อมจะกระโจนหนีเช่นเดียวกันหากดนตร์มีทีท่าจะจับเนื้อตัว ผิดกับเอิงที่บางทีก็แกล้งทำเมินเสียบ้าง เจ้าตัวดีเลยยอมทำสิ่งที่น่าจะเป็นการออดอ้อนใส่เขามากหน่อย

ไม่ชอบให้คนมาวอแว แต่ก็ไม่ชอบเหมือนกันหากไม่ได้รับความสนใจ…

ที่ทาสแมวทั้งหลายนิยามเจ้านายไว้ก็ไม่ผิดจากนั้นเลยสักนิด

“แอบถ่ายผมเหรอ… โห นี่นอกจากเป็นสตอล์กเกอร์แมวแล้วยังเป็นพวกแอบถ่ายนักศึกษาด้วยเหรอ โรคจิตพอตัวนะพี่เนี่ย” โคลงตัวไปมาพักหนึ่งก็หมุนตัวมาเจอกับหนุ่มธนาคารที่ยังทำหน้ากลั้นฟินพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถืออยู่ตรงหน้า เอิงเลยเอ่ยแซวยิ้ม ๆ พร้อมเอนตัวเข้าไปใกล้ นัยน์ตาใสจ้องเข้าไปในเลนส์ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสบดวงตาสองชั้นที่ดันขึ้นจนเป็นขีดโค้ง “พี่ถ่ายอะไรอะ”

“อะไรน่ารักก็ถ่ายอันนั้นแหละ” ดนตร์ตอบก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วชะโงกหน้าเข้าหาไหล่ของเอิงข้างที่มีหัวกลม ๆ ของแมวเหมียวซุกซบอยู่ ปลายนิ้วไล้ไปตามแนวโค้งหน้าผากปกคลุมด้วยขนสั้น รูนีย์ปรือตาขึ้นมองนิดหน่อยก่อนจะหลับตาเชิดหน้าเคลิ้มไปกับสัมผัสแผ่วเบา

“ไม่ใช่ดิ ผมหมายถึงพี่ถ่ายรูปหรือคลิป แบ่งผมดูมั่งสิ” คนอายุน้อยกว่างอแง ร่ำ ๆ จะกระทืบเท้าอยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดนตร์ใจอ่อนแล้วยื่นมือถือให้ดูง่าย ๆ เกิดอีกฝ่ายไม่ชอบใจแล้วไล่ให้ลบ เขาคงไม่มีอะไรไว้ให้ดูคลายความคิดถึงกันพอดี

ด้วยความที่โตมากับแม่ที่ชอบสารพัดของน่ารัก ดนตร์เลยคิดเอาเองว่าเหมือนเขาได้รับอิทธิพลตรงนั้นมาด้วย อย่างเช่นแมวที่เห็นแล้วก็อยากเข้าไปกอดฟัด ไปงับหูงับแก้มเล่นสักทีสองที ติดแต่ว่าไม่ได้เลี้ยงเป็นของตัวเอง ครั้นจะไปไล่งับแมวตามคาเฟ่ ก็เกรงว่าจะไปทำแมวเขาเปื้อนน้ำลาย จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เพิ่งแยกออกมาอยู่คนเดียวแล้วกำลังเบื่อได้ที่ ก็มีลูกแมวตัวหนึ่งมานอนเล่นบนหลังคารถ แถมยังโชว์สเตปสไลด์ตัวลงมาทางกระจกหน้า ฝากเม็ดดินเม็ดทรายเปื้อนเป็นทางยาวตามแนวไถลและอุ้งเท้าเล็ก ๆ ที่ประทับไว้ให้ดูต่างหน้าบนฝากระโปรง

ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธสักนิดที่รถเปื้อน กลับกันเสียด้วยซ้ำ ในหัวมีแต่คำว่า ‘น่ารัก’ เต็มไปหมด และโดยที่ไม่รู้ตัว สองขาเขาก็วิ่งตามเจ้าเหมียวสีส้มตัวนั้นไป จนได้เจอกับเอิง… เด็กหนุ่มที่เขาแอบตั้งฉายาให้ในใจว่า หัวหน้าแมว

เขาเพิ่งย้ายมาทำงานที่ธนาคารแห่งนี้ไม่นานเท่าไร แต่ก็พอจะสังเกตเห็นรถเข็นอาหารอิสานที่มักจะมาตั้งร้านอยู่หน้าโรงจอดรถธนาคารตั้งแต่ช่วงเย็น ดนตร์ไม่เคยเป็นลูกค้าร้านนี้สักครั้ง แต่เห็นลูกน้องชักชวนกันไปอุดหนุนอยู่บ่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพราะรสชาติจัดจ้าน กับอีกเหตุผลใหญ่คือลูกชายแม่ค้า ซึ่งข้อหลังนี้ดนตร์ก็เห็นด้วยว่าหน้าตาดีจริง

ตอนที่เห็นอีกฝ่ายพยายามกล่อมลูกแมวให้เชื่อง เขาก็รู้แล้วว่าจากนี้คงมองเด็กคนนี้ด้วยสายตาแปลกไป จากที่คิดว่าแค่หน้าตาดี ก็เริ่มรู้สึกว่าเอิงช่างน่ารักใคร่ ความอ่อนโยนที่เด็กหนุ่มส่งต่อถึงเจ้าก้อนขนสีส้มทำให้เขาอยากทำความรู้จัก อยากอยู่ใกล้ และโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาก็รุกเข้าตีสนิทอีกฝ่ายไปแล้ว

ดนตร์มองเด็กหนุ่มที่ยังตระกองกอดรูนีย์ไว้แนบอกแล้วก็นึกมันเขี้ยว เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าตัวเองแผ่พลังความน่ารักออกมาเรี่ยราดขนาดไหน เขาต้องพยายามห้ามตัวเองอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เผลอกัดแก้มขาวที่จินตนาการเอาเองว่าคงจะนุ่มนิ่มน่าดู แต่ถึงอย่างนั้นก็อดจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ไม่ได้…

ใกล้… จนได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มบนเสื้อยืดตัวโคร่งที่คลุมร่างผอมนั่นเอาไว้

ฮื้อออ ทำไมถึงหอมอย่างนี้นะ

ไม่ได้ไอ้ดนตร์! ตั้งสติไว้ จะมาใจร้อนตอนนี้ไม่ได้! สูดหายใจเข้านับหนึ่ง ผ่อนลมหายใจออกนับสอง

ดี ๆ นับเลขวนไปแบบนี้จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

“อยากดูก็มาให้กอดก่อนดิ เดี๋ยวให้ดูเลย” อ้าว ฉิบหาย! ไอ้ที่นับเลขในใจไม่ช่วยอะไร ปากดันเผลอพูดที่คิดในหัวออกไปเสียอย่างนั้น

“…” อึ้งไปเลย หัวหน้าแมวของดนตร์

เอิงมองคนอายุมากกว่าที่อยู่ ๆ ก็พูดจาประหลาดเหมือนหมาหยอกไก่ (เออ อีกฝ่ายน่ะหมา แต่เขาไม่ใช่ไก่เสียหน่อย) ก่อนจะรู้สึกเลยว่าจู่ ๆ หน้าตัวเองก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเสียดื้อ ๆ…

บ้าเอ๊ย นี่เขาเขินเหรอเนี่ย!?

เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร เลยกลายเป็นว่าบทสนทนาของพวกเขาชะงักลงเท่านั้น เอิงทำปากพะเยิบพะยาบเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เงียบเหมือนเดิม

“คิดอะไร หน้าแดงใหญ่ละ พี่หมายถึงกอดแมวเถอะ” เลยกลายเป็นดนตร์ที่ต้องกลับลำทำเป็นเรื่องเล่นไป เพื่อไม่ให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้

เฮ้อ~ สงสัยคราวนี้ก็คงต้องปล่อยไปอีกวัน จีบหัวหน้าแมวเด็กนี่มันยากแบบนี้เอง

“…” เหมือนหัวใจที่พองโตถูกเอาเข็มจิ้มจนเหี่ยวแฟบ เอิงแอบเบ้ปากพร้อมมองแรงใส่คนอายุมากกว่าเหมือนปฏิกิริยาตอบสนองทันควันโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

และใช่… เด็กหนุ่มก็คงไม่รู้หรอกว่าท่าทางเหมือนไม่พอใจแบบนั้นทำให้คนที่มองอยู่ตลอดใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกไปเองคนเดียว

“ส่วนน้องเอิงเดี๋ยวพี่ค่อยกอดตอนเป็นแฟนแล้วละกันเนอะ” เอาวะ เลยตามเลย ไหน ๆ ก็หลุดปากไปแล้ว แถมน้องก็ไม่ได้ดูต่อต้านอะไรด้วย อย่างนี้เขาก็มีหวังใช่ไหมนะ

“พูดอะไรของพี่เนี่ย!” นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ แถมพอตั้งสติได้ก็แหวใส่ก่อนอันดับแรก เหมือนจะโมโหแต่ดูยังไงก็โกรธแก้เขินชัด ๆ (อันนี้ดนตร์ยอมรับว่าแอบคิดเข้าข้างตัวเอง)

“…ไม่เสียงดังสิครับ รูนีย์ตกใจใหญ่แล้ว” ดนตร์ทำท่าจุ๊ปากใส่หนุ่มน้อยที่พอจะดึงสติกลับมาได้บ้างเมื่อเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดจิกกรงเล็บกับไหล่เพราะตกใจเสียงดัง แต่ในเมื่อตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ไม่มีเสียหรอกที่เขาจะปล่อยโอกาสนี้ให้ลอยผ่านไป

หยอดได้ก็จะหยอด ใกล้ได้ก็จะใกล้ เอิงจะได้รู้ตัวสักทีว่าเขาชอบ

“รอพี่ดนตร์จีบรูนีย์ติดก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะมาจีบน้องเอิงต่อนะครับ ไม่น้อยใจน้าา”

แล้วจะพาทั้งคนทั้งแมวไปอยู่ด้วยกันให้ได้เล้ย!! 😉

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

The End